Growth Mindset ตอนที่ 3

Growth Mindset ตอนที่ 3
เส้นทางสู่ความสำเร็จ สำหรับบริษัทสายงานไอที

ดำเนินรายการโดย คุณปัญญดา คล้ายโพธิ์ทอง ร่วมตอบคำถามโดย คุณจักรี บุณยนฤธี คุณไกรรัฐ รักสกุล คุณชนชน ทรัพย์อนันต์ไพศาล

ปัจจุบันเด็กจบใหม่อยากทำงานในสาย Software House และสาย IT มาก และ ควรทำอยากไงถึงให้ได้งาน

ในการรับพนักงานส่วนใหญ่จะมองในหลายๆองค์ประกอบ แต่อย่างแรกจะเน้นในเรื่องประสบการณ์การทำงานว่าเคยทำอะไรมาบ้าง ต่อมาจะที่จะดู คือ ใบเซอร์ว่าเหมาะสมกับงานของบริษัทไหม และอีกอย่างก็เป็นวุฒิการศึกษาก็ยังสำคัญ อย่างสุดท้ายทัศนคติตรงกับธุรกิจ หรือไม่

ประสบการณ์การทำงานในองค์กรท่ใหญ่ในด้านพลังงาน

องค์กรที่ใหญ่นั้นมีกำลังให้การหาพนักงานมากเลย โดยสามารถหาพนักงานได้หลากหลาย หรือ จะหาแบบเจาะจงเฉพาะสายงานก็ทำได้ไม่ได้เป็นเรื่องยาก แต่เรื่องใหญ่ขององค์กรที่ใหญ่วัฒธรรมทางองค์กรมากกว่าอีกอย่าง คือ องค์กรที่เติมโตไวจะต้องการ

พนักงานที่พร้อมจะเรื่องรู้อะไรใหม่ๆ

 

ในยุคของ new normal คนไปธนาคารน้อยลงธนาคารปรับตัวกันอย่างไง

โดยธนาคารได้มองเรื่องอุปกรณ์ใดที่ใกล้กับลูกค้าที่สุด หนีไม่พ้นโทรศัพท์เลยมีการทำธุรกรรมทางการเงินเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น โดยทั้งทางอัตโนมัติ หรือ ระบบออนไลน์จึงทำให้สาขาย่อๆเล็กๆต้องค่อยๆปิดตัวลงแต่ว่าการทำธุรกรรมมางการเงินเป็นเรื่องที่ง่ายเลยต้องระวังการโดนโกง ธนาคารก็ช่วยในการป้องกันระบบให้เรา และ ในคำแนะนำการใช้งานให้กับคนที่มีอายุเรื่องการทำงานของระบบ เช่นกัน

 

การสมัครงานทางธนาคารควรทำอย่างไรบ้าง

เริ่มด้วยการยืนใบสมัครจะมี  2 รูปแบบ อย่างแรกเป็นการยื่นแบบออฟไลน์ปกติ อย่างที่สองเป็นการยื่นแบบออนไลน์ โดยทั้งสองรูปแบบ สามารถติดตามรายละเอียดในทางเว็บไซต์ของธนาคาร ส่วนใหญ่ทางธนาคารจะรับคนที่จบมาเฉพาะด้าน และ ประสบการณ์สายตรงมากกว่า แม้ว่าการรับทางธนาคารประกาศรับสมัครคนที่ตรงกับความต้องการคุณสมบัติแบบนั้นแบบนี้จริงๆได้ตรงเต็มที่ก็ 80% แต่ว่าถึงเรื่องคุณสมบัติไม่ตรง 100% เรื่องจบตรงสาย กับ ประสบการณ์ทำงานต้องตรงด้านจริงๆ

 

เด็กจบใหม่ควรทำตัวอย่างไงในการสมัครในองค์กรใหญ่ ภาครัฐ หรือ บริษัทเอกชนที่ไม่ใหญ่มาก

องค์กรใหญ่ และ ภาครัฐ จะให้โอการ กับเด็กที่จบใหม่ค่อนข้างเยอะ เพียงแค่กล้าเข้าไปสมัครเท่านั้น และพอได้สัมภาษณ์ให้แสดงศักยภาพออกมาให้เยอะที่สุด เพราะว่าองค์กรต้องการคนที่พร้อมกับการปรับตัวไปตามองค์กร และสามารถทำงานได้หลากหลายยืดยุดในการทำงาน กับองค์กรที่เติมโตเร็ว บริษัทเอกชนที่ไม่ใหญ่มาก จริงแล้วต้องการคนที่มีประสบการณ์มากกว่าเด็กจบใหม่ ถึงแม้ว่าจะรับแต่ผู้มีประสบการณ์แต่เด็กจบใหม่ก็ยังมาทางอยู่ คือประวัติการฝึกงาน และ โปรเจคจบที่ทำเองจริงๆ หรือถ้ามีใบเซอร์ก็จะมีโอกาศได้รับเข้าทำงานเหมือนกัน

 

Startup ในประเทศไทยจะมีโอกาสเติบโตได้ไหม

อย่างแรกที่ต้องให้ความสำคัญ คือ เมนเทอร์ที่ผ่านการทำ Startup มาหลายๆรูปแบบก็จะดีมาก เพราะว่าในประเทศไทยยังไม่มีเมนเทอร์ที่ประสบการณ์เยอะมากทำให้เป็นสิ่งที่ต้องการเป็นลำดับแรกกว่าเงินทุน อย่างต่อมา คือ CEO, CTO 2 ตำแหน่งมีความสำคัญในองค์กร Startup แนวความคิด และการทำงานต้องแข็งแกร่งมากเลยเพราะ Startup ยากมากในการเติมโตในประเทศไทย อีกจุดหนึ่ง คือ Startup ไม่ได้ให้ความสำคัญกับโปรแกรมเมอร์ที่เก่งมากพอ เพราะคิดว่าเงินเดือนโปรแกรมค่อนข้างแพง แต่ว่าโปรแกรมเมอร์ปกติกับโปรแกรมเมอร์ที่เก่งความสามารถจะต่างกัน 5-10 เท่า เพราะงั้นบ้างที่การเงินเดือนที่กว่าที่ควรได้รับโปรกรมเมอร์เลยไม่ได้ให้ความสำคัญกับ Startup เท่าไหร่

สามารถชมไลฟ์ย้อนหลังได้ที่นี่

">http://

DIGITAL CHILL CHILL ตอนที่ 1

DIGITAL CHILL CHILL ตอนที่ 1
หัวข้อ INTRODUCTION TO A BIG DATA PROJECT

Introduction to a big data project คุณรวิโรจน์ ไพวิโรจน์ วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2020

Big Data คือข้อมูลจำนวนมาก และทุกประเภทก็คือ Big Data ยังแบ่งได้ 4 ลักษณะดังนี้

Volume : ข้อมูลจำนวนมหาศาล หรือ เป็นข้อมูลที่เยอะแล้วแต่ยะงเพิ่มขนาดออกไปได้อีกเรื่อยๆ
Variety : ข้อมูลที่หลากหลาย หรือ ข้อมูลที่ไม่ใช่ชนิดเดียวกัน เช่น ในหนึ่ง Big Data จะมีทั้ง รูปภาพ เสียง วิดิโอ และข้อความ เป็นต้น
Velocity : ข้อมูลที่มีความรวดเร็ว หรือ เป็นข้อมูลที่พร้องนำไปใช้งานได้ แล้วเลยไวต่อการวิเคราะห์
Veracity : ข้อมูลที่มีความแม่นยำ หรือ ข้อมูลไม่มีการช้ำซ้อนของข้อมูล เช่น ข้อมูลที่เป็นชื่อจังหวัด บ้างคนจะใส่ข้อมูลแบบ กทม กรุงเทพ กรุงเทพมหานคร หรือ อะไรที่แปลว่า กรุงเทพมหานคร แบบนี้เรียกว่าข้อมูลช้ำซ้อน ข้อมูลที่ไม่มีการช้ำซ้อน แล้วก็จะเป็นแค่จังหวัด กทม อันใดอันหนึ่งก็ได้

สิ่งที่เข้าใจผิดใน Big Data 

        Big Data จะมีค่าในตัวเอง

จริงๆแล้วไม่เลย Big Data ก็คือกลุ่มก้อนของข้อมูลถ้าไม่ได้เอามาวิเคราะห์ ข้อมูลก็จะหายไปตามเวลาเพราะว่าข้อมูลมั้นเก่าไปแล้ว เลยไม่มีประโยชน์หรือค่าในตัวเอง

        Big Data นำพามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ข้อนี้จะคล้ายๆกับข้อที่แล้ว ข้อมูลถ้าไม่ได้นำมาใช้วิเคราะห์เกิดประโยชน์ก็ จะไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้กับ องค์กรได้

        Big Data มีค่ามากว่า Little Data

จริงอยู่ที่ข้อมูลเยอะๆต้องดีกว่ามีข้อมูลน้อย แต่ถ้าข้อมูลที่เยอะๆแต่มีความช้ำซ้อน และข้อมูลที่มีข้อผิดพลาดมันก็ให้เสียเวลาในการทำมากกว่าข้อมูลที่น้อยแต่ไม่มีความช้ำซ้อน และข้อผิดพลาดที่น้อย ไม่มีอันไหนที่มีค่ากว่ากันขึ้นอยู่กับที่ว่าจะนำไปใช้ ประโยชน์ได้มากกว่ากัน

        Big Data เป็นเรื่องขององค์กร หรือ ธุรกิจขนาดใหญ่

ในปัจจุบันการทำ Big Data วิเคราะห์ข้อมูลไม่ได้มีค่าใช้จ่ายสูงมากกว่า เหมือนในอดีต เพราะฉะนั้นแล้วองค์ที่เล็ก หรือ ธุรกิจที่เล็ก ก็มีโอกาสได้เข้าถึงแล้วเหมือนกัน

หลักการทำ Big Data Project

อย่างแรกที่ต้องดูในองค์กรก่อนจะทำ Big Data Project ว่าในองค์กรยังใช้มนุษย์ตัดสินใจเรื่องอะไรอยู่บ้าง การที่นำเอา Big Data Project มาใช้จะช่วยเรื่องของการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ และทำให้มีข้อผิดพลาดน้อยลง มนุษย์จะใช้ประสบการณ์ และความรู้สึกในการตัดสิน อาจจะทำให้มีโอกาสที่จะผิดพลาด ต่อมาการตรวจสอบข้อมูล ที่ยังไม่ได้ใช้งานมาใช้ให้เกิดประโยชน์ถ้าเอาข้อมูลที่ไม่ได้ใช้มาทำ Big Data มาวิเคราะห์ องค์กรที่อยากทำ Big Data Project ควรมีที่ปรึกษาเฉพาะทางเพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ข้อมูล และองค์กรต้องเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีด้วยมันจะช่วยให้ง่ายขึ้นอีกนิดหน่อย หลักทำงานก็จะเปลี่ยนไปจากเป็นการที่หัวหน้าเป็นคนตัดสินใจการทำงาน พอทำ Big Data Project ขึ้นมาก็จะต้องผ่านการติดสินใจร่วมกัน ระหว่างหัวหน้างาน กับ ข้อมูลที่วิเคราะห์ออกมากได้จะใช้ให้ทำงานได้แม่นยำและรวดไว

ประเภทของ Data

ข้อมูลแบบมีโครงสร้าง คือ ข้อมูลที่เป็นประเภทตัวเลข ตัวอักษร ที่อยู่ในรูปแบบของ Relational Database เป็นตารางที่แบ่งเป็นแถวเป็นคอลมน์ และมีการเชื่อมต่อกันในตารางต่างๆได้โดยใช้ (SQL) ในการจัดการข้อมูลปัจจุบันมีข้อมูลประเภทนี้อยู่ 20% ของข้อมูลทั้งหมด
ข้อมูลแบบไม่มีโครงสร้าง คือ ข้อมูลที่ไม่สามารถระบุบถึงโครงสร้างได้ชัดเจน เช่น ข้อมูลประเภท ข้อความ เสียง รูปภาพ วิดีโอ หรือแบบเข้าใจแบบง่ายๆ คือข้อมูลที่มาจากทาง โซเชียลมีเดีย Facebook Twitter หรือ YouTube ที่ให้เราทำการ Upload ข้อมูลลงไป และข้อมูลประเภทนี้ไม่สามารถใช้การเก็บข้อมูลแบบ (SQL) ได้จึงต้องใช้การจัดเก็บด้วยรูปแบบ Non-relational-database (NoSQL) ปัจจุบันข้อมูลประเภทนี้มีอยู่ 80% ของข้อมูลทั่งหมด

การจัดการ Data

แหล่งที่มาของข้อมูล คือ อะไรก็ที่ให้กำเนิดข้อมูลออกมาไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม เช่น ข้อมูลที่ได้มาจากที่โปรแกรมสร้างขึ้น หรือ เซ็นเซอร์ที่เก็บข้อมูล และแสดงผลออกมา ทำให้เกิดที่มาของข้อมูล แต่จะมีความหลากหลายของรูปแบบข้อมูล จึงอาจให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ ทำให้เกิดความลำบากในจัดการข้อมูล ดังนั้นต้องเตรียมความพร้อมให้ดีๆ
ช่องทางการส่งต่อข้อมูล คือ การเชื่อมต่อออกมาจากแหล่งข้อมูล ถือว่าเป็นการไหลของข้อมูล และจำเป็นต้องมีการดึงข้อมูลออกมาใช้งานต่อ เช่น การ Upload/Download หรือ ใช้ (API) มาใช้ในการดึงข้อมูลมาใช้งาน แต่ว่าข้อมูลอาจจะมีปัญหาที่เกิดจากการช้ำซ้อนของข้อมูล หรือ มีปัญหาอื่นๆได้ ดังนั้นในขั้นตอนการส่งต่อข้อมูลจึงได้มีขั้นตอนมาช่วยทำให้ไม่เกิดปัญหาได้ มีชื่อเรียกว่า (ETL) ประกอบไปด้วย

Extract : การดึงข้อมูลออกาจากแหล่งข้อมูล
Transform : การจัดข้อมูล เช่น การแยกข้อมูล การทำความสะอาดข้อมูล เป็นต้น
Load : การนำข้อมูลที่ผ่านจากการ Transform แล้วมาจัดเก็บ หรือ นำมาประมวลผล

แหล่งเก็บข้อมูล คือ การเก็บข้อมูลที่มาจากหลายๆแหล่ง เข้ามาด้วยกัน แบ่งออกได้ 2 ชนิด

Data Lake คือ ข้อมูลดิบที่ไม่ได้ผ่านกระขวนการใด ในขั้นตอนของ (ETL) 
Data Warehouse คือ Data Lake ที่ผ่านการ (ETL) มาแล้ว

การวิเคราะห์ข้อมูล คือ เป็นหน้าที่ของ Data Scientist จะแบ่งการทำงานได้ 2 ลักษณะ

การวิเคราะห์แบบเบี้องต้นโดยการใช้สถิติ เช่น การหาค่าเฉลี่ย การหาค่าแปรปรวน ซึ่งการวิเคราะห์แบบเบื้องต้นนั้นแก้ปัญหาได้ทุกกรณี
การวิเคราะห์เชิงลึกโดย Model แบบต่างๆรวมถึงการใช้ Machine Learning เพื่อแก้ปัญหาแต่จะไม่ได้มีไว้ใช้แก้ทุกกรณี แต่จะไว้แก้แบบเฉพาะเจาะจงของปัญหา จะมีวิธีแก้ก็แตกต่างกันออกไปแล้วแต่ปัญหา

การใช้ผลวิเคราะห์ข้อมูล คือ การนำผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลไปใช้ได้ 2 รูปแบบ

การออกเป็นแบบรายงาน เพื่อที่จะให้ Data Analyst ตรวจสอบแล้วนำไปใช้ด้านธุรกิจ
การนำไปใช้แทนการทำงานของ มนุษย์ แต่ต้องมีการเขียนโปรแกรมเพิ่มเติมให้มีการกระทำออกไป คือ การนำมาใช้ให้ได้เรียนรู้ด้วยตัวเองแล้วทำโดย อัตโนมัติ หรือในทีบ้างกรณีเรียกว่า (AI)

หน้าที่ในแต่ละส่วนของการทำ Big Data Project สามารถแบ่งออกได้ 3 ส่วน

Data System ทำหน้าที่ในการออกแบบ และ จัดการข้อมูลของระบบ คือ ทำการออกแบบการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ และทำความสะอาดข้อมูล (หน้าที่ของ Data Engineer)
Data Modeling การออกแบบ Modeling ที่ทำ (ETL) แล้วนำมาวิเคราะห์ข้อมูล (หน้าที่ของ Data Scientist)
Data Communication นำข้อมูลที่วิเคราะห์แล้วมาวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อนำมาใช้ในด้านธุรกิจ (หน้าที่ของ Data Analyst)

สามารถชมไลฟ์ย้อนหลังได้ที่นี่

Growth Mindset ตอนที่ 2

Growth Mindset ตอนที่ 2
เส้นทางสู่ความสำเร็จ ในสายงานไอที

          การเตรียมตัวก่อนหางาน การหางาน สัมภาษณ์งาน คุณจักรี บุณยนฤธี คุณไกรรัฐ รักสกุล คุณชนชน ทรัพย์อนันต์ไพศาล วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม 2020 เวลาตั้งแต่ 21:00-22:00 น

           การเตรียมตัวก่อนที่จะหางาน การหางานก็เหมือนกับการขายของ มีอะไรก็ต้องใส่ให้หมดทุกอย่างที่ดีของเราไปเพื่อที่จะให้คนที่จะรับทำงานได้ตัดสินใจได้งาน Resume เป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกันระดับต้นๆ และ Resume ที่ดีควรเป็นภาษาอังกฤษเพราะว่าจะได้สมัครได้ทั้งในไทย และต่างชาติ อะไรที่ควรอยู่ใน Resume บ้าง ก็จะมี ชื่อ อายุ ประสบการณ์การทำงาน ใช้ที่ไปฝึกงานมาก็ได้สำหรับเด็กจบใหม่ และในเรื่องประสบการณ์ทำงาน ตำแหน่งงานไม่ตรงสายที่จบมาอย่าไปกลัวลองยื่นไปก่อนบ้างที่ HR แค่เขียนขึ้นมาว่าถ้ามีแต่ถ้าไม่มีก็ลองส่งมาดูของเพียงเราคิดว่าเราทำงานนี้ได้ไม่ต้องลองดูก่อน และ ความสามารถจะช่วยเสริมได้อะไรที่เราขาดด้านไหนเราต้องใช้ความสามารถมาเพิ่มเพื่อที่จะ เอามาสู้กับคนที่มีประสบการณ์ทำงานเยอะๆได้ ต้องให้ละเอียดนิดหน่อยเรื่องการทำงานไปทำอะไรมาแล้วบ้างจะช่วยได้เยอะ อีกอย่างเลย คือ portfolio เรามีโปรเจคอะไรตอนเรียน หรือ ตอนทำงานเคยทำอะไรก็ใส่ลงไปอย่างละเอียด และลำดับการผ่านงานให้เรียงจากใหม่ที่สุดไปเก่าที่สุด ถ้ามีใบเซอร์อะไรก็ใส่ลงไปให้หมดเหมือนกัน ที่สำคัญอีกอย่าง คือ การสอบวัดระดับของการใช้ภาษาอังกฤษด้วยว่าใช้คะแนนของแต่ละที่เท่าไหร่

          การหางานสิ่งที่ต้องดูเลยตัวเราก่อนเลยว่ามีทักษะ อะไรบ้างแล้วตำแหน่งที่จะสมัครตรงกับความต้องการ ไหมบริษัทเป็นอย่างไงมีขนาดเล็กหรือใหญ่ 

แนวทางการหางานของเด็กจบใหม่ส่วนใหญ่แนะนำว่าหาตามเว็บไซต์จัดหางานดีกว่า 2 เว็บไซต์มีเงินเดือนอยู่ที่ 20,000 บาท เป็นต้นไป

Job Thai
Job bkk 

ต่อว่าเป็นเว็บไซต์เป็นเว็บที่ต้องใช้ความสามารถที่สูงขึ้นแต่ยังไม่มากเพิ่มขึ้นจากลำดับแรกมากลางๆ เงินเดือนที่จะได้รับ 50,000 บาท เป็นต้นไป 

Job Hunters
Job Top Gun

ถัดไปจะเป็นสำหรับคนที่มีความสามารถสูงพอที่จะทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเจออะไรก็ทำได้ ก็จะได้รับเงินเดือน ไปจนถึง 75,000 บาท

Job db

ค่าตอบแทนเป็นเรื่องที่สำคัญ และค่อนข้างที่จะละเอียดอ่อนอย่างมากบ้างที่แล้ว บริษัทอาจจะอยากให้เราได้รับงานแต่เราไปเรียกสูงเกินไป ทำให้มีผลต่อการได้งานเหมือนกันการเรียกเงินเดือนของคนที่เคยทำงานแล้ว ให้เอาเงินเดือนล่าสุดบวก OT แล้วนิดหน่อยก็จะได้เงินจะเงินเดือนของคนเคยผ่านงานมาแล้ว แต่คนจบใหม่ๆถ้าอยากได้เงินจริงก็เอาค่าแรงขึ้นต่ำที่บริษัทรับ และบวกเพิ่ม

         การสัมภาษณ์งานถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากเลยเรื่องหนึ่งหลักจากที่เราผ่านด้านของ การสมัครงานเข้ามาได้เลยการโดนเรียกไปสัมภาษณ์ คือด้านสุดท้าย เราต้องควรเตรียมตัวไปด้วย เริ่มด้วยการแต่งตัวต้องให้เกียรติ กับคนที่มาสัมภาษณ์เราด้วย ตอนสัมภาษณ์ทัศนคติต้องตรงกับบริษัทด้วยยิ่งเป็นองค์กรใหญ่ๆค่อนข้างที่จะให้ความสำคัญมากเลย เพราะว่าเรามีความสามารถที่ดี แต่แนวคิดอาจจะไม่ตรงกับองค์กรมันจะให้ทำงานยาก หรือทำให้เกิดปัญหาภายหลังได้ และองค์กรที่ใหญ่ๆจะมีความชัดเจนในหน้าที่และบทบาทในการทำงานอยู่แล้วจะทำเป็นระบบ ไม่ค่อยได้ไปที่จะคนเดียวทำหลายหน้าที่ ควรหาข้อมูลตำแหน่งที่เราสมัครงาน ต้องทำอะไร ใช้อะไรบ้าง ในการทำงาน คือข้อมูลเชิงวิชาการบ้าง เอามาเพื่ออธิบายหลักการประกอบ การตอบคำถามคำว่าไม่รู้ควรพูดให้ได้น้อยที่สุดแต่ไม่ควรโกหกเด็ดขาด แล้วถ้าเรารู้คีย์ของคำถามเราก็ตอบได้ดี และตรงกับคำถาม

“องค์กรไม่ต้องการคนที่เก่ง และพัฒนาไม่ได้แต่ต้องการคนที่ไม่เป็นต้องเก่ง ก็ได้แต่ต้องการคนที่พร้อมพัฒนาตัวเองกับสิ่งใหม่ๆ”

สามารถชมไลฟ์ย้อนหลังได้ที่นี่

Growth Mindset ตอนที่ 1

Growth Mindset ตอนที่ 1
เส้นทางสู่ความสำเร็จ เริ่มต้นตั้งแต่ฝึกงาน

     ประสบการณ์ในการฝึกงานครั้งแรก การทำงาน วัฒนธรรมองค์กร คุณจักรี บุณยนฤธี คุณไกรรัฐ รักสกุล คุณชนชน ทรัพย์อนันต์ไพศาล วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม 2020 เวลาตั้งแต่ 21:00-22:00 น

.     การฝึกงานสิ่งที่ต้องมีเลย คือ ความเตรียมความพร้อมที่จะต้องเจออะไรที่ เราอาจจะไม่ได้เลยมาก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วการฝึกงานจะได้ทำอะไรที่ไม่ได้ทำ และต้องเป็นสิ่งที่เราต้องการที่จะทำด้วยถ้าไม่ใช่ พอเข้าไปแล้วไม่ค่อยมีใคร มาค่อยดูแลตลอดเวลา แล้วการเลือกที่ฝึกงานก็สำคัญอย่างมากมันจะทำให้ เปลี่ยนอนาคตได้เลยถ้าได้ที่ดีๆ ไม่ใช้ไปนั่งเฉยๆรอคนมาสั่งให้ทำ ถ้าเรามั่วแต่รอมันจะทำได้แค่นั้นการไปฝึกงานต้องขอลองทำ ถึงจะได้ทำเยอะขึ้นมากขึ้นแต่บ้างองค์กร ก็ต้องการความปลอดภัย และความแม่นยำเพราะฉะนั้นการเลือกที่ฝึกมีผลอย่างมาก อีกอย่างการเป็นเด็กฝึกงานต้องมีความเคารพผู้ใหญ่อย่างน้อยควรสวัสดีทักทาย การแต่งตัวต้องตามที่องค์กรกำหนดไว้ เพราะแต่ละองค์กรก็มีเหตุผลในการรักษาความปลอดภัย ภาพลักษณ์ขององค์กรเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างไงก็ตามการฝึกงานถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ จะทำให้อะไรหลายๆอยากของเราเปลี่ยนไปได้

       เรื่องวัฒนธรรมองค์กรค่อนข้างที่จะแตกต่างกันออกไป บ้างที่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ตัวอย่างเช่น การเข้างาน การเลิกงาน การทักทาย ความแตกต่างอันนี้ต้องปรับตัวให้เข้าได้การฝึกงานจนต้องมีการเตรียมตัวศึกษา หาความรู้ว่าบ้างแต่ว่า บางที่อาจจะได้ต้องทำงานแทนตำแหน่งที่มีตำแหน่งจริงๆก็ได้ 

       ในการทำงานความชอบมีผลต่องานมาก เราชอบมันและตั้งเป้าหมายมันได้ชัดเจนแค่ไหนมันยิ่งทำให้ เราได้มีแรงให้การค้นหาความรู้ แต่บ้างทีการที่เราแค่มีความสามารถอย่างเดียวคงยังไม่พอต้องมีใบเซอร์บ้างจะช่วยให้คนอื่นได้มั่งใจในการทำงานของเราได้ และการสื่อสารก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน ถึงภาษาจะไม่ดีแต่ถ้าตั้งใจที่จะสื่อสารก็จะทำงานออกมาได้ อย่างไงก็จำเป็นอยู่ดี  

       และอีกอย่าง คือ การวางแผนที่จะทำให้เรารู้ว่าควรทำอะไรในการฝึกงานบ้างต้องทำอะไร วางตัวเองไว้ตรงไหนในตอนนี้มีเส้นทางที่ชัดเจนทำให้มีระเบียบในการจัดการ ถ้ามีโอกาสที่จะได้รับงานใหญ่ๆในการฝึกงานมันจะช่วยให้ฝึกได้อย่างดีเลย ทำให้มีผลต่อการสมัครงานในอนาคต เพราะมันทำให้เราได้เก่ง และทำงานเป็นได้ผ่านความกดดันในการทำงาน

การทำงานทุกงานต้องอาศัยความชอบต้องมาก่อน ต่อมาก็ต้องความพยายามที่จะแสวงหาความรู้อย่างสุดท้ายการวางแผนจะทำให้เห็นเส้นทางที่เราจะเดินไปได้ชัดเจน และเห็นปัญหาได้ก่อน

สามารถชมไลฟ์ย้อนหลังได้ที่นี่

Life @ Wing Develop

Life @ Wing Develop
ปีกแห่งอิสระ วัฒนธรรมองค์กรแห่งความไว้ใจ

            ทุกคนรู้ แฟนคลับรู้ โปรแกรมเมอร์แปลว่าทำงานแบบมีพันธะ  มีพันธะแปว่าไม่อิสระ ฉันไม่ยอมตกเป็นทาสของคุณหรอกค่ะ....ไม่จริง! ถึงแม้ว่าการทำงานของโปรแกรมเมอร์ในภาพที่เราคิดอาจจะเป็นภาพของกลุ่มคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจ้องหน้าจอที่ปรากฏภาษาที่คนทั่วไปยากจะเข้าใจ ต้องทำงานร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะว่ามีการนำแต่ละส่วนมาประกอบกันในตอนท้ายเพื่อให้ได้มาซึ่งผลงานแสนประทับใจชิ้นหนึ่งที่พร้อมจะส่งไปให้กับลูกค้า จึงจำเป็นต้องมีที่ทำงานเป็นหลักแหล่งเพื่อที่ทุกคนจะสามารถประสานงานกันได้อย่างเป็นระบบ สิ่งเหล่านี้อาจไม่เกิดขึ้นเลยกับ Wing Develop สตูดิโอสำหรับโปรแกรมเมอร์ไฟแรงที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อให้ทุกที่บนโลกคือที่ทำงาน

Wing Develop

            คือ Develop Studio ขนาดไม่ใหญ่มาก โดยการนำของ ภควัฒน์ บุญยัง หรือที่หลายคนเรียกว่า อาจารย์แมค CEO ประจำบริษัท Wing Develop และเป็นผู้สอน ด้านการเขียน Java script แห่ง CodeCamp ที่สนับสนุนโดย Software Park Thailand และสมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย นอกจากนี้ยังได้รับโอกาสเป็นอาจารย์พิเศษบรรยายในระดับมหาวิทยาลัยอีกด้วย  ซึ่ง Wing Develop มีความพิเศษด้านวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เหมือนใคร เรียกได้ว่าติดปีกให้กับพนักงานทุกคนตามชื่อเลยทีเดียว

ปีกแห่งอิสระในการทำงาน: ที่ทำงานที่ไม่ใช่ออฟฟิศ และออฟฟิศที่ไม่ใช่ที่ทำงาน

            “ผมเชื่อว่าคงไม่มีบริษัทไหนที่ให้พนักงานเอาเบียร์ขึ้นมาดื่มในเวลาทำงานใช่มั้ยครับ?”

            “คุณอาจจะเห็นได้ที่ออฟฟิศเรานี่แหละ”

            ที่ Wing Develop พนักงานทุกคนมีอิสระและสามารถเลือกทำงานที่ไหนก็ได้บนโลก เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าหากถึงเวลาที่ต้องมีงานส่งก็ควรจะได้งานที่สมบูรณ์ อิสรภาพดังกล่าวนี้มาจากความเข้าอกเข้าใจอย่างลึกซึ้งของ CEO อย่างอาจารย์แมค เนื่องจากตัวอาจารย์เองก็เคยเป็นพนักงานของบริษัทต่าง ๆ มาก่อน ดูแลโปรเจกต์ต่าง ๆ มานับไม่ถ้วน และเข้าใจเป็นอย่างดีว่าในฐานะโปรแกรมเมอร์นั้น ตนต้องการสภาพแวดล้อมและรูปแบบการทำงานแบบไหนที่จะเอื้อต่อการทำงานมากที่สุด เขาจึงเลือกการบริหารแบบ Country Club Style หรือการบริหารที่ค่อนข้างหละหลวมและให้อิสระพนักงานในการจัดการภาระงานของตัวเอง ออฟฟิศจึงเป็นเหมือนสถานที่ที่พนักงานทุกคนมาเพื่อพบปะพูดคุยกันเสียมากกว่า

            แต่เราทราบก็กันดีว่าการทำงานรูปแบบนี้เป็นดาบสองคม เพราะอาจทำให้ไม่เกิดงานเลยก็ได้หากให้อิสระกับพนักงานมากเกินไป  แต่ที่ Wing  Develop แทบไม่เกิดปัญหานั้นเลย เป็นเพราะอะไร?

ปีกที่พยุงกันและกันด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ: การจัดการทรัพยากรบุคคลภายบนพื้นฐานของความเกื้อกูล

            “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” เป็นคำพูดนามธรรมที่จับต้องไม่ได้เลย แต่ที่ Wing มันกลับมีน้ำหนักอย่างชัดเจน และมีมากพอที่ทำให้ทุกโปรเจกต์ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างลุล่วงโดยที่แทบจะไม่มีข้อผิดพลาด พนักงานของ Wing รวมถึงตัวผู้บริหารอย่างอาจารย์แมคเองใช้คำนี้เป็นหลักในการทำงาน และเพราะคำคำนี้เองที่ทำให้บริษัทนี้ทำงานได้อย่างมีความสุข

            ที่บริษัทมีหลักสำหรับพนักงานในการทำงานร่วมกันอยู่ 3 ข้อ

หากใครสักคนก่อความผิดพลาด จะไม่มีการด่ากันให้เกิดความขัดข้องหมองใจ
กล้าที่จะพูดกับเพื่อนร่วมงานในกรณีที่ตนเองพบปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ หรือขาดทักษะ
ช่วยเหลือกันให้ถึงที่สุด

            จากทั้งสามข้อจึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดพนักงานจึงทุ่มเทให้กับงานที่ตนเองได้รับอย่างเต็มกำลัง เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจไม่ใช่แค่คำพูดลอย ๆ แต่กลืนกับวัฒนธรรมองค์กรจนเป็นเนื้อเดียวกัน ในฐานะพนักงานคนหนึ่งเราสามารถสัมผัสได้ถึงความช่วยเหลือเกื้อกูลได้จากหลักปฏิบัติดังกล่าวแล้ว และนอกจากนั้นยังสัมผัสได้ถึงความเหนียวแน่นประหนึ่งเป็นครอบครัวที่ทุกคนหวังดีแก่กันมากกว่า

            นอกจากหลักปฏิบัติที่กล่าวถึงไป อีกสิ่งสำคัญที่บริษัทให้ความสำคัญอย่างมากคือ การสื่อสาร อาจารย์เชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่ชำนาญและทุกคนมีโอกาสที่จะผิดพลาด ฉะนั้นการสื่อสารภายในองค์กรจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการสื่อสารนี่เองที่จะช่วยให้ทุกคนเห็นภาพของปลายทางตรงกัน ลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดในการทำงาน และเพิ่มความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันด้วย

            อย่างไรก็ดีวัฒนธรรมที่โดดเด่นของ Wing Develop ไม่ได้มีเพียงแต่เรื่องของการจัดการบุคคลแต่ยังมีแนวคิดเรื่องการจัดการกับเนื้องานอย่างมีคุณภาพอีกด้วย

ปีกแห่งความจริงใจและวิสัยทัศน์ในการทำงาน: รู้จักประมาณตนและซื่อสัตย์ต่อตนเอง

            “เราจะรับงานเท่าที่เราทำไหวตามทรัพยากรที่เรามี และเราตอบลูกค้าอย่างจริงใจเสมอหากเราไม่สามารถรับงานที่เสนอมาได้จริง ๆ”

            การประเมินความสามารถของทรัพยากรที่ตนเองมีเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพื่อให้การทำงานในบริษัทไม่อยู่ในความกดดันมากเกินไป และที่สำคัญกว่านั้นอาจารย์ให้ความสำคัญในเรื่องของ Gap ช่องว่างหรือเวลาว่างที่เกิดขึ้นจากการทำงาน เพื่อที่รุ่นพี่หรือคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในส่วนของตนเองสำเร็จแล้วได้สอนงานรุ่นน้อง อาจารย์แมคกล่าวว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมา การสอนงานที่ไม่มีประสิทธิภาพเป็นปัญหาลูกโซ่ที่บั่นทอนกำลังใจในการทำงานสายนี้ “หากรุ่นน้องทำไม่ได้ก็จะถูกรุ่นพี่ต่อว่า และน้องก็จะบอกว่ารุ่นพี่ไม่สอนงาน หัวหน้าก็จะลงมาต่อว่ารุ่นพี่ที่ไม่สอนงาน และรุ่นพี่ก็จะถามกลับไปที่หัวหน้าว่าจากงานที่มอบหมายมาให้แล้ว เขาจะมีเวลาให้สอนขนาดไหนล่ะ” กลายเป็นว่ามันไม่ใช่ปัญหาของใครสักคนแต่เป็นปัญหามาตั้งแต่ผู้บริหารแล้ว ฉะนั้นข้อดีของบริษัท Wing Develop ซึ่งมีขนาดเล็กจะช่วยให้รุ่นพี่รุ่นน้องหรือแม้แต่ผู้บริหารเองสามารถเข้าถึงกันได้ง่ายและสอนงานกันได้ง่ายนั่นเอง แต่ช่องว่างดังล่าวที่จะนำมาใช้สอนงานมันมาจากไหน?

            “เราต้องมองภาพให้ขาดแล้วสับย่อยให้ละเอียดก่อนที่จะมอบหมายให้กับพนักงาน”

            ภาพดังกล่าวคือตัวเนื้องานนั่นเอง นี่คือทักษะสำคัญของผู้บริหารด้านโปรแกรมมิ่งที่อาจารย์แมคพูดถึง กล่าวคือผู้บริหารต้องมองภาพให้ออกทั้งหมดว่าโปรเจกต์ที่รับมานั้นต้องมีขั้นตอนอะไรบ้างในการดำเนินการอย่างถี่ถ้วนเพื่อที่จะได้ผลลัพธ์สุดท้าย และแบ่งมันออกมาเป็นงานย่อยให้ได้ก่อนที่จะมอบหมายมันออกไปแก่ลูกน้อง ฉะนั้นช่องว่างที่เกิดขึ้นก็มาจากการที่ลูกน้องสามารถจัดการกับงานย่อยนั้นสำเร็จลุล่วงแล้วนั่นเอง อย่างไรก็ตามการที่จะมองภาพให้ขาดก็ต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกฝนทำงานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนั่นก็คือที่มาของการสอนงานนั่นเอง

            แล้วความซื่อสัตย์กับลูกค้าเกี่ยวข้องอย่างไร? การที่ซื้อสัตย์กับลูกค้าเนื่องจากทราบศักยภาพของตนเป็นอย่างดี คือปัจจัยหลักที่ช่วยให้แบ่งงานย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความผิดพลาดที่อาจะเกิดขึ้นในขั้นตอนของการดำเนินงาน และเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความชำนาญและน่าเชื่อถือในการจัดการกับเนื้องานที่ได้รับให้กับลูกค้าได้อีกด้วย

อยากติดปีกบินไปกับ Wing Develop ด้วยต้องทำอย่างไร

            เรามีพนักงานน้อย แต่หากจะรับคนเพิ่มเราก็อยากจะมั่นใจว่าเค้าตรงกับ requirement ในแต่ละโปรเจกต์ที่เราเสนอไปขนาดไหน เพราะหากเรารับมาโดยที่รู้ว่าศักยภาพของเขาไม่สามารถทำงานที่เรามอบหมายให้ได้เท่ากับว่าเรารับคนเข้ามาทรมาน และนอกจากนั้นมันก็จะบีบคั้นจนเค้าไม่มีความสุข ในการทำงานเลย

            เคยเจอกรณีที่รับเข้ามาแล้วเขาสู้ไม่ไหวเหมือนกัน แต่เราก็ให้ความช่วยเหลือจนถึงที่สุด ให้รุ่นพี่เข้มข้นกับการสอนงานให้ หรือแม้กระทั่งซื้อคอร์สให้เรียนเพิ่มเติม ถ้าเขายังทำไม่ได้ ตัวเขาเองจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือจะเดินออกไป เราไม่เคยไล่ใครออกหรือเคยแบล็กลิสต์ใครมาก่อน แต่ถ้าออกไปแล้วไปฝึกฝนทักษะจนชำนาญและมีความพร้อมที่จะทำงานต่อไปจริง ๆ เราก็พร้อมจะรับเขากลับเข้ามาทำงานใหม่เหมือนกัน แต่ที่สำคัญคือเราต้องพิจารณาอีกทีว่าทักษะที่เขามีมันตรงกับ requirement ที่เรากำหนดไว้จริง ๆ

            ฉะนั้นหากต้องการจะเตรียมตัวเพื่อเข้ามาสมัครทำงานกับเรา อาจารย์แมคแนะนำว่าให้ฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอจนมีทักษะเพียงพอและพร้อมต่อ requirement ที่บริษัทประกาศออกไป สิ่งหนึ่งที่อยากให้พกมาด้วยคือทัศนะคติที่สู้งาน เพราะหากจะพัฒนาตนเองต่อหรือกังวลว่าจะสร้างความผิดพลาด มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับบริษัทที่ขนาดเล็กที่มีความไว้เนื้อเชื่อใจและมีการดูแลกันแบบนี้เลย

โอกาสดีๆมาถึงแล้ว !

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.

Life @ CodeKit

Life @ CodeKit

พูดคุยกับผู้ปฏิวัติการเขียนโค้ด เริ่มได้ตั้งแต่วัยมัธยม

            เมื่อไม่กี่ปีมานี้ คุณอาจจะเคยได้ยินว่ากระทรวงศึกษาธิการได้ปรับหลักสูตรการศึกษาใหม่ในประเด็นเรื่อง “การเพิ่มวิชาการเขียนโปรแกรมลงไปในหลักสูตรของเด็กประถมและมัธยม” ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายที่เกิดขึ้น ผู้ก่อตั้ง CodeKit คุณไพบูลย์ พนัสบดี ได้เล็งเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจึงได้ริเริ่มสร้างรูปแบบการเรียนการสอนโค้ดสำหรับเด็กไทยขึ้น ในบทความนี้ Software Park CodeCamp จะพาไปพูดคุยกับคุณไพบูลย์ พนัสบดี ผู้ก่อตั้ง CodeKit องค์กรที่ทำให้การเรียนการสอนสำหรับเด็กนักเรียนง่ายขึ้น ในหัวข้อเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร และตำแหน่งงานต่าง ๆ ในสายไอทีอันเป็นโอกาสของคนทำงานไอทีในไทยให้เข้ามาสมัครกัน

รู้จัก CodeKit

            จุดเริ่มต้นของ CodeKit เริ่มมาจากการที่คุณไพบูลย์ได้เป็นผู้สอนเรื่อง React ที่ Software Park CampCamp#1 และค้นพบว่าในต่างประเทศมีเว็บไซต์อินเทอร์แอคทีฟสำหรับการเขียนโค้ดทำให้การเขียนโค้ดเป็นเรื่องง่ายขึ้น แต่เมื่อนำมาใช้สอนจริง ก็พบปัญหาด้านภาษา ผู้เรียนค่อนข้างใช้เวลามากในการแปลข้อความต่าง ๆ ร่วมกับการประกาศนโยบายของกระทรงศึกษาธิการเรื่อง “การเพิ่มวิชาการเขียนโปรแกรมลงไปในหลักสูตรของเด็กประถมและมัธยม” เมื่อลองค้นคว้าการเรียนการสอนวิชาการเขียนโปรแกรมในโรงเรียนก็ค้นพบว่าการเรียนการสอนยังขาดเครื่องมือที่จะช่วยให้ครูจัดการสอนได้ง่ายขึ้นและนักเรียน เรียนได้อย่างเข้าใจเห็นภาพมากขึ้น ทั้งสองเหตุผลนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เกิด “CodeKit Innovation เว็บไซต์สอนเขียนโค้ดออนไลน์แบบอินเทอร์แอ็คทีฟโดยคนไทยเพื่อคนไทย”

Life @ CodeKit 

            หลายบริษัทอาจประสบปัญหาต้องปรับตัวกับการ “Work from Home” จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 แต่ที่ CodeKit การทำงานที่บ้านเป็นสิ่งที่บริษัททำมาอย่างยาวนาน ทำให้ไม่ถูกกระทบในเรื่องของระยะเวลาการทำงาน สาเหตุที่ตัดสินใจให้พนักงานทุกคนทำงานที่บ้านตั้งแต่แรก เพราะด้วยลักษณะการทำงานของโปรแกรมเมอร์ที่ว่า “ทำงานกลางคืน นอนเช้า ตื่นสาย” หากเวลามาทำงานก็จะเป็นการเข้างานสายเลิกงานค่ำ ดังนั้นเพื่อปรับให้สอดคล้องกับชีวิตวิถีโปรแกรมเมอร์จึงปรับให้เป็นการทำงานแบบ Work from Home ตั้งแต่แรก

15 (mins) Daily Scrum a day, keep problems away

            การทำงานแบบ Work from Home ตลอด ทำให้ CodeKit ได้นำ Agile และ Scrum มาปรับใช้ ที่น่าสนใจมากคือ ในทุกวัน ทีมงานจะมีการโทรประชุมออนไลน์  เรียกว่า “Daily Scrum (15 นาที)” เพื่ออัพเดทข้อมูลทั้งหมด 3 ประเด็น ได้แก่ (1) เมื่อวานทำอะไรไปแล้วบ้าง? (2) ในตอนนี้กำลังจะทำอะไรต่อไป? และสุดท้าย (3) ติดปัญหาอะไรตรงไหน? ซึ่งกุญแจสำคัญให้การประชุมแบบนี้คือต้องคุมเวลาทั้งหมดให้ไม่เกิน 15 นาทีให้ได้ เพื่อป้องกันการเบื่อและลดโอกาสของการไม่เข้าประชุม

การทำงานแบบ Work from Home ทำให้งานเยอะขึ้น?

            คำถามนี้คงเกิดขึ้นในใจของใครหลายคน แท้จริงแล้วในบางบริษัทอาจเกิดจากการเคยชินกับการทำงานที่มีเวลากำหนด เช่น เข้างานแปดโมงเช้าเลิกห้าโมงเย็น  แต่เมื่อเป็นการทำงานที่บ้านสัญญาณเตือนการเลิกงานหายไป ทำให้รู้สึกว่าระยะเวลาการทำงานนั้นเพิ่มมากขึ้น

            มีความคิดเห็นจากพนักงานในหลายองค์กรว่าต้องการกลับไปทำงานที่บริษัทเช่นเดิม ในทางตรงกันข้าม CodeKit เคยปรับการทำงานให้มีการเข้าออฟฟิสและมีเวลาเข้าออกงานตามแบบฉบับของบริษัททั่วไป ผลกลับกลายเป็นว่า พนักงานของ CodeKit ชื่นชอบการทำงานที่บ้านมากกว่า เนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูงกว่านั่นเอง

หากข้องใจ อยากทดลองอะไร ไปลองทำดู

            การทำงานในสายงาน IT นั้น อาจจะต้องทำงานในหน้าที่เดิมซ้ำไปซ้ำมา จึงทำให้เบื่อและขาดแรงจูงใจได้ และ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ CodeKit ได้นำวิธีการแก้ปัญหาจากองค์กรเทคโนโลยีชื่อดังใน Silicon Valley มาปรับใช้ โดยการแบ่งเวลาให้พนักงานไปทดลองทำงานในตำแหน่งหรือส่วนที่ตนเองอยากลองทำ เพื่อทำให้พนักงานไม่คาใจและไม่เบื่อ โดนจะแบ่งเวลาได้ 20% หรือก็คือ 1 วัน จากทั้งหมด 5 วัน

ทักษะเป็นต่อ ทัศนคติเป็นต่อกว่า

            ทักษะความชำนาญในการทำงานย่อมเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ในการพิจารณาเลือกเข้าทำงาน อย่างไรก็ตาม “ทัศนคติ” กลับเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า หากมีทักษะมาก แต่มีทัศนคติในแง่ลบมาก ย่อมส่งผลให้คนที่มีความสามารถไม่โดนเด่น แต่มีทัศนคติที่ดีสามารถพัฒนาได้ “เป็นต่อกว่า”

CodeKit ก็เป็นอีกหนึ่งองค์กรให้ความสำคัญกับทัศนคติอย่างมาก ทุกคนที่เข้าทีมจะต้องมีความสามัคคี อยู่ร่วมกันได้ไม่เกิดปัญหา “ไม่คิดจะเก่งคนเดียว แต่พร้อมที่จะเก่งไปด้วยกัน” เมื่อเกิดปัญหาพร้อมที่จะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาโดยไม่โทษผู้อื่น และมีเรื่องยึดถือสำคัญก็คือเรื่อง “การกล้าที่สื่อสาร” เช่น การกล้าที่จะสื่อสารว่าตอนนี้งานที่กำลังทำเกิดปัญหา เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือได้ทันโดยไม่ทำให้กระบวนการทำงานทั้งหมดช้าลง

โอกาสมี อย่ารอช้า!

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://codekit.

Life @ KBTG

Life @ KBTG

เปิดอกคุยกับองค์กรที่อยู่เบื้องหลัง K PLUS แอพพลิเคชั่นที่มี Active User มากกว่า 10 ล้าน User

คนไทยคุ้นเคยกับการทำธุรกรรมผ่านทางมือถือกันเป็นอย่างดี แน่นอนว่า “K PLUS” ก็เป็นแอพพลิเคชั่นทำธุรกรรมของธนาคารกสิกรไทยที่ได้รับความนิยมอันดับต้น ๆ ของประเทศ ยิ่งช่วงสถานการณ์ COVID-19 ที่ทำให้ทุกคนได้ Work From Home อาจจะยิ่งทำให้เราช้อปปิ้งหนักขึ้น จนใช้ต้องโอนเงินซื้อของหลายครั้งต่อวัน ในบทความนี้ Software Park CodeCamp จะพาไปพูดคุยกับ KASIKORN Business - Technology Group หรือ KBTG บริษัทผู้อยู่เบื้องหลังแอป K PLUS รวมถึงระบบอื่น ๆ อีกมากมายที่คนไทยคุ้นเคย เกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร และตำแหน่งงานใหม่อันเป็นโอกาสของคนทำงานไอทีในไทยให้เข้ามาสมัครกัน

รู้จัก KBTG

KBTG เป็นบริษัทที่แยกตัวออกจากธนาคารกสิกรไทย ก่อตั้งเป็นบริษัท IT Solution ที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมในการทำธุรกิจที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ของธนาคารเท่านั้น เช่น K PLUS แอพพลิเคชั่นสำหรับทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านมือถือของธนาคารกสิกรไทย ทำเทคโนโลยี Block Chainที่ได้ยินกันอย่างหนาหูในเวลานี้ ทำ Chatbot สำหรับตอบกลับอัตโนมัติ ทำระบบ AI และ ระบบ Cloud นอกจากนี้ยังทำ Innovation Unit อื่น ๆ อีกมากมาย

มีโอกาสสำหรับเด็กจบใหม่ที่อยากทำงานไม่ตรงสายเสมอ

ที่ KBTG มีโครงการ “KBTG Intensive Program (KIP)” เปิดโอกาสให้เด็กจบใหม่หรือคนที่ยังมีประสบการณ์ไม่มากที่มีความสนใจเฉพาะ หรือ สนใจในด้านธุรกิจและเทคโนโลยี มาทำงานในสาย Business Analyst และ Project Manager โดยผู้เข้าร่วมโครงการสามารถเลือกได้อย่างอิสระว่าต้องการทำสายใดมากกว่า หรือ อย่างทำทั้งสองสายพร้อมกัน ระยะเวลาในโครงประมาณ 2 ปี ซึ่งในช่วงระหว่าง 2 ปีนั้น ผู้เข้าโครงการจะได้ หมุนเปลี่ยนงาน (Job Rotation) ไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น โดยขึ้นอยู่กับความสมัครใจและความสนใจของเรา นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมยังมี “โค้ชประจำตัว”คอยให้คำปรึกษา ติดตามงานต่าง ๆ รวมถึง มีการเทรนนิ่งในส่วนที่เราอยากรู้เพิ่มเติมทั้ง Soft Skill และ Tech Skill

Life @ KBTG     

            ภาพในหัวของใครหลาย ๆ คนอาจเข้าใจว่าองค์กรใหญ่จะต้องมีกฎระเบียบเคร่งครัด มีการนับถือความอาวุโส เข้าออกงานตรงเวลาเป๊ะ ตามแบบแผน แต่ที่ KBTG ไม่ได้เป็นแบบนั้น ด้วยความที่องค์กรเป็นองค์กรนวัตกรรมและเทคโนโลยีทำให้เป็นองค์กรที่มีความยืดหยุ่นสูงอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบและหน้าที่

“พนักงานสำคัญที่สุด” ที่ KBTG พนักงานทุกคนสามารถตัดสินใจเข้าร่วมทีมทำโปรเจคหรือแม้แต่ตำแหน่งใดก็ได้ที่ตนเองสนใจเมื่อตัวเราและทีมแมตช์กัน เป็นการเปิดโอกาสให้พนักงาน “Explore” ทุกอย่างที่ตนอยากรู้ เพราะหัวใจสำคัญอีกอย่างนึงที่ KBTG เชื่อคือ “ข้อผิดพลาดคือการเรียนรู้” ทำให้ตอนที่พนักงานทำผิดพลาดไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือเป็นเรื่องใหญ่ระดับองค์กรก็จะไม่มีการดุด่าหรือคำพูดในเชิงลบอย่างเด็ดขาด แต่กลายเป็นการสอน การลงมาช่วยเหลืออย่างไม่มีชนชั้น และการแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหา หรือ ชี้ทางให้กับพนักงาน ถือได้ว่าทุกครั้งที่เกิดข้อบกพร่อง ทุกคนจะมองไปที่ปัญหา ไม่มองไปที่พนักงาน ซึ่งเป็นผลดีต่อการพัฒนาตั้งแต่บุคลากรไปจนถึงองค์กร

รูปแบบการทำงานที่ปรับได้ตามโปรเจค

อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า KBTG มีโปรเจคนับไม่ถ้วนและเป็นองค์กรที่มีความยืดหยุ่นสูง ส่งให้แต่ละโปรเจคสามารถกำหนดเองได้ตามความถนัดและเหมาะสมได้เลยว่า โปรเจคไหนควรเป็น Waterfall โปรเจคไหนควรเป็น  Agile หรืออื่น ๆ ที่สำคัญในบางครั้งการทำในงานอาจจะมีการกำหนดเวลาที่กระชั้นชิด หากทั่วไปแล้วผู้ใต้บังคับบัญชาทำได้เพียงก้มหน้าทำโอทีให้เสร็จให้ได้ แต่ที่ KBTG พนักงานทุกคนคือคนสำคัญ ดังนั้นหากงานส่วนไหนที่ไม่สามารถทำได้ทันจริง ๆ ก็สามารถแจ้งกับหัวหน้าได้ในทันที ไม่ใช่เพียงแค่รูปแบบการทำงานเท่านั้นที่ปรับได้ แม้แต่ภาษาในการ Programming เองก็สามารถเลือกใช้ได้ตามที่ตัวเองถนัดแบบไม่มีจำกัด

ยกระดับวัฒนธรรมองค์กรสู่ระดับโลก

กล่าวได้ว่า วัฒนธรรมองค์กรของ KBTG มีความใกล้เคียงกับองค์กรนวัตกรรมยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley (ศูนย์รวมองค์กรนวัตกรรมที่มีมูลค่ามหาศาลของโลก) จุดที่สามารถเห็นความใกล้เคียงได้ชัดที่สุดคือ “การให้ความสำคัญกับพนักงานทุกคน” เพราะสำหรับองค์กรนวัตกรรมแล้วขุมทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุดก็คือพนักงาน ด้วยเหตุนี้การคัดเลือกบุคคลเข้าองค์กรจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้ทุกคนที่สัมภาษณ์เข้าทำงานที่ KBTG จะต้องสัมภาษณ์กับผู้บริหารระดับสูงอย่างน้อยที่สุด 1 คน เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าผู้สมัครมีทัศนคติและบุคลิกภาพ รวมถึง ทักษะ ตรงกับ KBTG หรือไม่

หัวหน้าที่ไม่ใช่หัวหน้า

“โค้ช” คือสิ่งที่หัวหน้าทุกระดับใน KBTG เป็น ดังนั้นทุกคนจึงสามารถออกไอเดียหรือแสดงความคิดเห็นได้อย่างสบายใจไม่มีการถือความอาวุโสเป็นใหญ่ ทุกคนเคารพสิทธิและความคิดของผู้อื่น เน้นการก้าวหน้าไปด้วยกันไม่ใช่การให้หัวหน้าเดินนำลูกน้องเดิมตาม นอกจากนี้ไม่ว่าพนักงานจะอยากได้อะไร เช่น อุปกรณ์สำหรับการทำงานใหม่ หัวหน้าก็จะจัดหาให้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ภายใต้ดูแลของตน

เป้าหมายคือมุ่งหน้าสู่เวทีโลก

            KBTG เป็นบริษัทของคนไทย ที่มีคนไทยใช้ผลิตภัณฑ์อยู่กว่า 10 ล้านคน ผลงานของ KBTG จึงมี Impact สูง ทั้งยังมีการร่วมมือระหว่างพาร์ทเนอร์ธุรกิจต่างชาติยักษ์ใหญ่มากมากร่วมโปรเจคด้วย ส่งผลให้ KBTG พร้อมที่จะเข้าเป็นผู้แข่งขันในเวทีโลกได้ เพื่อที่จะทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ การรวมรวบคนไทยที่มีความสามารถมาก ๆ จากที่ต่าง ๆ มาเป็นหนึ่งเดียวเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทรงประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากนี้ภายในองค์กรเองก็ยังมีการเตรียมความพร้อมด้านภาษาให้กับบุคลากรมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คอร์สเรียนภาษาอังกฤษฟรีกว่า 10 ระดับ ชมรมภาษาอังกฤษเพื่อฝึก Public Speaking และภายในองค์กรเองก็มีชาวต่างชาติทำงานอยู่เช่นกัน

แรงดึงดูดให้คนรัก KBTG

พนักงานที่ทำงานที่ KBTG มีความภูมิใจในงานที่ตนเองทำเพราะผลงานที่ได้ทำออกมา มีผู้ใช้มหาศาล มี Impact ต่อประเทศมุ่งสู่เวทีโลก รวมถึง การให้ความสำคัญกับบุคลากรของผู้บริหาร ทำให้โตพนักงานในสาย IT โตได้ไกล และมีการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ทำให้อัตราการลาออกของพนักงานที่ KTBG นั้นต่ำมาก

ยังมีที่ว่างกว่า 100 ตำแหน่งรอคุณอยู่ !

หากสนใจอยากร่วมงานกับ KBTG ค้นหาตำแหน่งที่เปิดรับและสมัครได้ที่ https://www.